เทศน์บนศาลา

ใจคลุกขี้

๑๔ มิ.ย. ๒๕๕o

 

ใจคลุกขี้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมนี่เป็นเครื่องเยียวยาชีวิตไง ดูสิ เราเกิดมานี่ทุกข์ยากขนาดไหน ทุกข์ยากนะ คนจะมั่งมีศรีสุข คนจะทุกข์จนเข็ญใจ ความทุกข์ประดับไปในหัวใจ ทุกข์นี่เพราะอะไร เพราะทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง โลกนี้มีแต่ความทุกข์ แต่เพราะว่าอะไร เพราะกิเลสมันเคยใจกับหัวใจของสัตว์โลก ถึงว่ามันยอมจำนนกับชีวิตนี้ไง หาแต่ความสุขกัน คิดว่าหาความสุขนะ มันจะมีความสุขมาจากไหนในเมื่อมันยังเป็นอวิชชาพาเกิด สิ่งที่เป็นอวิชชามันอยู่กับใจของเรา เห็นไหม

แล้วเกิดมา ดูสิ ดูเวลาเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พยายามแสวงหาอยู่ ๖ ปีนี่แสวงหามาเพื่อใคร? แสวงมาเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสวงหามาเป็นพระโพธิญาณ เวลาสร้างสมบุญญาธิการ ดูสิสร้างสมเป็นพระโพธิสัตว์ นี่ ๔ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า “บารมีเรามีเท่านี้ เราสร้างมา ๔ อสงไขย” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มา ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย รื้อสัตว์ขนสัตว์มันมีอำนาจวาสนามากกว่านี้ไง

นี่ ๔ อสงไขย คำว่า “๔ อสงไขย” นับไม่ได้ถึง ๔ หน แล้วแสนมหากัป สิ่งนี้สร้างมาทุกข์ไหมล่ะ? ทุกข์ แต่มีความปรารถนา มีความพอใจไง เพราะสร้างสมมา เห็นนะ ความปรารถนา เพราะเราปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสวงหาสิ่งนี้ แสวหาสิ่งนี้ ทุกข์ก็พอใจ แต่ทุกข์นี่มันมีบุญมีกรรม

คนเราเกิดมาถ้ามีบุญมีกรรม ถ้ามีบุญ ชีวิตจะประสบความสำเร็จตามอำนาจวาสนาเราทำมา ถ้าเราทำมานะ มันจะมีคนช่วยเหลือ จะมีคนเจือจานไป แต่ถ้าคนไม่มีวาสนาก็ต้องพยายามเข็นไปประสาเราไง ดูสิ ดูเวลาพระโพธิสัตว์ เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างๆ กันด้วยบุญญาธิการ ด้วยการสั่งสมมา นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตเรา เราเห็นกันตั้งแต่เกิดมาเท่านั้นนะ เวลาเราเกิดมานี่เราเกิดมา เวลาเราเกิดมาเราก็เป็นเรา เราจำได้ไงว่าเราทำคุณงามความดี

คุณงามความดีสิ เพราะเราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมา เราเกิดมาในพระพุทธศาสนา เราเกิดในพ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เราถึงจะได้มาประสบอย่างนี้กันนะ ดูสิ เราย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก เห็นไหม สมัยโบราณของเรา เวลาเกิดมาในสังคมนะ ร่มเย็นเป็นสุข เพราะสังคมชาวพุทธ ชาวพุทธมีความเมตตากัน มีสิ่งต่างๆ เจือจานกัน สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข

แต่เวลาเราโตขึ้นมาในปัจจุบันนี้ โลกร้อนไปเรื่อยๆ นะ โลกร้อนไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะว่าสังคมอุตสาหกรรม เห็นไหม เวลามีความสำคัญทั้งนั้น เร่งรีบกันเพื่อแสวงหากัน แล้วต้องหมุนให้ตามทันโลกนะ เพราะเอาโลกเป็นใหญ่ไง นี่โลกมันเป็นใหญ่มันถึงเร่าร้อน ปัจจุบันนี้เอาโลกมาเป็นใหญ่กัน แล้วเกิดมาในโลกต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยู่ในทุนนิยม เราจะปฏิเสธทุนนิยมไม่ได้ ถ้าปฏิเสธทุนนิยมไม่ได้เพราะเราอยู่กับโลก โลกต้องหมุนไปใช่ไหม นี่มันเป็นคราวเป็นกาลไง

แล้วเราก็มามองกันว่าเดี๋ยวนี้โลกเจริญ ย้อนกลับไปดูอดีตสิ เวลาคนที่อยู่ตั้งแต่โบราณมา เขาจะไม่รู้จักเทคโนโลยีของเรา เราจะมีแต่เทคโนโลยี เราจะมีความเจริญ เราได้ใช้ของที่ดีๆ ไง แต่วัดคุณค่าชีวิตกันสิ...ชีวิต เห็นไหม เรามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ชีวิตนี้มีคุณค่ามาก ถ้าชีวิตนี้มีคุณค่ามาก อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความรู้สึก ถ้าความรู้สึกของเรา ถ้ามันมีคุณค่าขึ้นมา เราถึงจะทำสิ่งนี้กัน ที่เราออกแสวงหากัน เราออกมาฟังธรรมกัน ธรรมมาจากไหนล่ะ

ธรรมที่ออกมาจากใจของครูบาอาจารย์เรามันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์นะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์นี่มันเข้าถึงใจ แต่เราฟังธรรมกัน เราฟังธรรม พระเทศน์ภาคปริยัติ อ่านหนังสือให้ฟังมันเข้าถึงใจเราไหม อ่านหนังสือให้ฟังนะใครก็อ่านได้ เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์มันมีพระไตรปิฎก คีย์ได้เลย อ่านได้เลย ยิ่งอ่านยิ่งสงสัยเพราะกิเลสเรามันพาสงสัย

“ใจเรามันคลุกขี้” ดูสิ ดูเด็กๆ มันนะ เราเลี้ยงเด็กมาในโบราณ เวลาเด็กมันขี้ขึ้นมา มันขี้มันเยี่ยว มันนอนคลุกนี่มันไม่รู้ตัวมันเลยนะ แล้วมันน่าสกปรกไหม เราว่าสกปรกนะ แต่เด็กมันไม่รู้เรื่องเลย มันสนุกของมัน มันเอาเข้าปากด้วย มันกินด้วย ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกสมัยโบราณเลี้ยงด้วยธรรมชาติ เวลามันขี้มันเยี่ยวที่เราไม่เห็น มันจะคลุกอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้ามันคลุกอยู่อย่างนั้นนะ เรามองด้วยสายตาคน เราคิดภาพ เราจะสลดสังเวชเลย

แต่ถ้าในหัวใจของเรา จิตมันคลุกขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง นี่มันหลงอยู่แล้ว ถ้าไม่หลงมันไม่ได้มาเกิดหรอก สิ่งที่มันเกิดมานี่มันคลุกอยู่กับมัน แต่เราไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่ใช่ธรรมเราก็ฟังนี้ไม่ได้ ถ้ามันเป็นธรรมนะ มันเป็นธรรม มันจะเห็นโทษไง เห็นโทษว่าสิ่งที่มาเกิดมันมีคุณประโยชน์

เวลาว่าพูดถึงอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ถ้าทรัพย์อันประเสริฐ เพราะเกิดขึ้นมาแล้วมันมีเหตุมีปัจจัยมหาศาลเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมมันถึงเป็นประโยชน์มีคุณค่าอย่างนี้ไง ถ้ามีคุณค่าอย่างนี้เพราะมองไปแล้ว มองในโลกมันสลดสังเวชเพราะอะไร เพราะกายกับใจ สิ่งที่เป็นกายนี่เป็นเรื่องของธาตุ สิ่งที่เรื่องของธาตุเพราะวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้

เราเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เวลาจิตปฏิสนธิไปในไข่ของมารดา อยู่ในครรภ์ ๙ เดือน คลอดออกมา สิ่งนี้เป็นความมหัศจรรย์ ถ้าเรื่องพูดถึงทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันแล้วมหัศจรรย์มากเพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติที่มันสร้างสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ ทำสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ชีวิตคนนี่มหัศจรรย์มากเลย มันเติบโตขึ้นมา พอมหัศจรรย์ขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสภาวะแบบนี้ไง

แล้วเกิดมาร่างกาย เราเกิดมาตั้งแต่เด็ก เวลามันเล็ก เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยมันก็คลุกขี้ของมันมา มันไม่รู้เรื่องของมันหรอก อย่างนั้นเราเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สกปรก แต่เวลากินเข้าไป อาหารนี่มันก็เป็นขี้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นธาตุ เก็บไว้มันก็เน่าบูดทั้งนั้นน่ะ เห็นไหม อาศัยสิ่งนี้ ธาตุมันเป็นอย่างนี้ไง ธาตุมันเป็นอย่างนี้เพราะมันมีธาตุไฟ ธาตุไฟคือจิตใจของเรามันอยู่ในร่างกายนี่มันอบอุ่น ธาตุไฟยังมีอยู่มันก็เผาผลาญ เผาผลาญสิ่งนี้ให้เป็นอาหาร เผาผลาญสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์กับร่างกาย ร่างกายก็เติบโตมา เติบโตมาในสิ่งสภาวะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์

แต่เวลาสุขเวลาทุกข์ล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาพ่อแม่ออกไปแรกนาขวัญ ทิ้งไว้ตั้งแต่เด็ก เพราะบุญญาธิการสร้างมา สิ่งนี้มันจะเป็นความฝังใจ ไปแรกนาขวัญนั่งอยู่โคนต้นหว้า กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เวลาจิตมันสงบลงไป นี่เงาของต้นหว้าไม่เคลื่อนย้ายนะ สิ่งนี้มันก็ฝังใจ

แล้วชีวิตขนาดนี้แล้วพระเจ้าสุทโธทนะให้ศึกษา ให้เตรียมการจะเป็นกษัตริย์ พร้อมทุกอย่างเลย แต่เวลามันสะเทือนใจ เห็นไหม ว่าคุณค่าของใจไง ทั้งๆ ที่เจ้าชายสิทธัตถะขณะที่ยังไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัติก็มีครอบครัวเหมือนกัน ทุกอย่างก็เหมือนกัน ก็คลุกขี้เหมือนกัน เพราะขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงมันอยู่ในหัวใจ สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของใจ เพราะถ้าไม่มีขี้ มันมาเกิดไม่ได้หรอก

“พระอรหันต์” สิ่งที่จิตบริสุทธิ์แล้ว จิตที่ไม่มีขี้ จิตที่สะอาด จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่ไม่มีแรงขับ มันจะไม่มาเกิดอีก

แต่ที่มาเกิดอีกนี่มันมีขี้แน่นอน เพราะมันมีอวิชชาแน่นอน สิ่งนี้มันอยู่ใต้กฎพญามาร มารมันสร้างมา เพียงแต่มารเวลาสร้างคุณงามความดีมาหรือสร้างบาปอกุศลมา ถึงคราวถึงกาลเวลา ถ้าคนมีบุญมีกุศลมา บุญคือความดีมา เกิดมานี่มันก็โลกชั่วคราวหนึ่ง แต่มันก็มีทุกข์ไง ความทุกข์นี่มันบีบคั้น แล้วเวลาความบีบคั้นขึ้นมา ดูสิ คนเราเกิดมาแล้วมันยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้เป็นเรา เกิดมาแล้วทุกคนอยากเสพสุข ทุกคนอยากจะสะดวก ทุกคนอยากสบาย ทุกคนไม่อยากตาย เกิดมาแล้วไม่ให้แก่ ไม่ให้ชรา ไม่ให้คร่ำคร่า

โดยสัญชาตญาณของขี้มันเป็นอย่างนั้น เราจะปฏิเสธว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือว่าเรารู้ความจริงแต่เราก็พยายามจะรั้งกันอยู่ เราพยายามจะเอาสิ่งนี้อยู่กับเรานานที่สุดที่จะนานได้ เกิดมาแล้วก็ไม่อยากตาย เว้นไว้แต่คนเสียจริต คนที่มีความทุกข์มากทำลายตัวเอง อันนั้นมันข้อยกเว้น ข้อยกเว้นเพราะอะไร เพราะเวลามันบีบคั้นขึ้นมา กิเลสมันหลอก ๒ ชั้นไง ชั้น ๑ เวลาอยู่นี่มันมีความทุกข์ มันก็ทำให้เราเพลิดเพลินไป ไม่เข้าใจไปกับมัน เวลามีความผิดพลาด มีความเจ็บปวดขึ้นมาก็บอกว่าทำลายชีวิตนี้เลยแล้วมันจะได้พ้นจากความทุกข์อันนี้ เพราะทุกข์ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ

เวลาทุกข์ไปนี่มันฆ่าได้ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราฆ่าคน เราทำลาย ที่การฆ่าไปแล้ว มันฆ่าความรู้สึกได้ไหม? มันฆ่าความรู้สึกไม่ได้หรอก แต่มันฆ่าคนมันฆ่าแต่ภพนี้ไง เพราะจิตมันไม่เคยตาย มันก็เปลี่ยนสภาวะของมันไป เปลี่ยนสภาวะของมันไปมันก็ไปของมันอีก แล้วความรู้สึกมันไปกับจิตนี่มันรู้ไหมว่าเราทำอะไรไว้ มันก็ไปทุกข์ซ้ำทุกข์ซากอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าศาสนาบอกให้ชำระปัจจุบันนี้ไง

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย ดูสิ เวลาเรา...เวลาในร่างกายของเรา หน้าตานี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราทุกคนรักษาหน้าตาให้สะอาดเพราะอะไร เพราะคนเขามองเขามองหน้ากันก่อน แต่เวลาความดำรงชีวิตของเรา...เท้าล่ะ เท้าที่มันพาเราก้าวเดินอยู่นี่ เวลาอุบัติเหตุ สมอง สิ่งที่สมอง กระทบกับสมอง สมองเป็นส่วนความจำ สมองเป็นสำคัญ นี่เราก็จินตนาการกันไป

ร่างกายแล้วส่วนไหนมันสำคัญล่ะ? จะเป็นเศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน เวลาเขาเดินมันต้องเดินไปด้วยเท้าทั้งนั้นน่ะ เขาไม่ได้เหาะลอยไปได้หรอก นอกจากเข้าฌานสมาบัติเหาะเหินเดินฟ้านั่นเป็นไปได้ ในปัจจุบันก็ยังทำได้ ถ้าทำได้นะ ทำได้ มันก็ทำต้องพลังงาน ต้องทำจิตให้สงบ ต้องมีกำลังมันถึงเป็นไป แล้วกำลังนี้มันก็เป็นอนิจจัง มันจะอยู่กับเราตลอดไปไหม? มันไม่ตลอดไปหรอก แต่ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังไม่พิการ เท้ามันจะเดินกับเราตลอดไปเพราะเป็นธรรมชาติอันหนึ่งในร่างกายของเรา

ถ้าในร่างกายของเรา เราเห็นสภาวะแบบนี้ โลกเขารักษา พยายามจะดึงกันไว้ แล้วมันเป็นไปตามความจริงไหม? มันไม่เป็นตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่มันเป็นธรรมนะ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายนี่เป็นสภาวธรรม แล้วในชีวิตเราก็เป็นความจริงอันหนึ่ง แต่พยายามจะหนีกัน พยายามปฏิเสธกัน หนีสิ่งนี้เพื่อจะรักษาให้สิ่งนี้มาอยู่กับเรานานๆ แล้วมันเป็นไปได้จริงไหม

ถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริง เราต้องศึกษาธรรมไง ที่เรามาฟังศึกษาธรรมกัน เราจะมากระตุกในหัวใจของเรา หัวใจนี่ให้มันยอมรับรู้สิ่งนี้ ถ้ามันยอมรับรู้สิ่งนี้มันจะเข้ามาเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าทำไมเราต้องมาทรมานตน ทำไมต้องมานั่งสมาธิกัน นั่งเพื่ออะไร

เด็กมันคลุกอยู่กับขี้ พ่อแม่มันต้องเช็ดล้างนะ พี่เลี้ยงเขาต้องเอามาอาบน้ำ ต้องเอามาทำความสะอาด นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจมันคลุกขี้ ถ้ามันคลุกขี้ เราก็ต้องมาทำความสะอาดมัน ถ้ามาทำความสะอาดมัน ถ้าทำความสะอาด ความสุขมันอยู่ที่นี่ไง เวลาเราแสวงหาความสุข เราจะไปพักผ่อนขนาดไหน เราใช้บริการเขาขนาดไหน เงินทองขนาดไหน มันสุขจริงไหม มันสุขนี่มันฉาบฉวย มันเป็นความสุขเพราะเราพอใจ เพราะเราได้ใช้บริการของเขา

แต่ถ้ามันความสุขจริงๆ จากในศาสนา “สุขใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี” แล้วใจมันสงบไหม ใจมันไม่สงบเพราะอะไรล่ะ เพราะมันยิ่งคลุกมันยิ่งเหม็น ยิ่งเหม็นมันยิ่งฟุ้งยิ่งกระจาย ยิ่งฟุ้งยิ่งกระจายมันก็ยิ่งทำกันไปใหญ่

นี่เวลาเรามาศึกษาธรรม ศึกษาธรรมกันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม...ตัวเราเลอะอยู่แล้ว มันคลุกขี้อยู่แล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง หัวใจนี่มันหลงอยู่แล้ว แล้วศึกษาธรรมมาก็ว่าเข้าใจๆ มันก็ยิ่งคลุกยิ่งขยำยิ่งเหม็นกันไปใหญ่เลย แต่ถ้าเราทิ้งให้หมดเลย เราทำความสะอาด เราอาบน้ำ เราชำระล้างร่างกาย เราใช้อะไร? เราใช้น้ำใช่ไหม เราใช้น้ำเพื่อทำความสะอาดเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราใช้ศีล ทาน ศีล ภาวนา เราต้องใช้สิ่งนี้เข้ามาชำระทำความสะอาดหัวใจ ถ้าทำความสะอาดหัวใจขึ้นมา มันเริ่มตั้งแต่มีกำลังตั้งแต่เราศรัทธา เราศรัทธาหาความสุขของเราในที่นี่ เราไม่ต้องไปหาความสุขทางโลกเขา ความสุขทางโลกเป็นการผ่อนคลายนะ ถ้าความสุข เวลาในการพักผ่อนไม่มีอะไรเท่ากับนอนหลับสนิท นี่มีความสุขมาก คนเรามันไม่เคยนอนหลับสนิท มันก็ยังอยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันหลับสนิทของเรา นี่มันพักผ่อน แล้วพักผ่อนที่ไหนล่ะ? สิ่งนี้มันเกิดมาจากเราถ้าจิตมันได้พักนะ ถ้าจิตได้พัก มันพักของมันทางโลกๆ มันก็นอนจมอยู่กับมันอย่างนั้น

แต่ถ้าเราตั้งสติ เราตั้งสติแล้วเรากำหนดพุทโธ เราทำความสงบของใจเข้ามา ให้มันจิตสงบเข้ามาชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าสงบเข้ามานะ หมั่นทำ หมั่นกระทำ เพราะอะไร เพราะคนที่จะกระทำสิ่งนี้ ที่มีความเข้าใจเรื่องของธรรมอย่างนี้ มันต้องมีวาสนาตรงนี้ไง คำว่า “มีวาสนา” ชมนะ ครูบาอาจารย์ท่านชมอย่างนี้ ชมจริงๆ ชมที่ว่าคนเกิดมาแล้วนี่ไม่เสียชาติเกิด

ในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาในศาสนาพุทธ ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้ออกบวชนี่เกิดมาเหยียบแผ่นดินผิดเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะว่ามันการกระทำไง เหมือนคนป่วย ถ้าคนป่วยนะ รู้จักว่าตัวเองป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาล คนนั้นมีโอกาสไหม คนนั้นต้องมีโอกาสใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราได้ประพฤติปฏิบัติเหมือนกับคนป่วย คนป่วยนี่เราต้องทานยา เราต้องหาหมอให้หมอรักษาเรา ถ้าเราหายได้ นี่เกิดมาในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาจนกว่าเราจะตายไปนี่คือโอกาสของเรานะ ถ้าตายไปแล้ว พอตายไปแล้วมันได้สถานะใหม่ ตายไปมันตายในปัจจุบันนี้ แต่จิตมันไม่เคยตาย มันต้องเกิดแน่นอน แต่เกิดในสถานะไหนล่ะ

ดูสิ ดูนะ อย่างโตเทยยพราหมณ์เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีน่ะ เกิดเป็นสุนัข นี่ในพระไตรปิฎกนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป “โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นพราหมณ์ เธอเป็นมนุษย์ เธอก็ตระหนี่ แล้วมาเกิดเป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติของตัวเอง แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบิณฑบาตก็มาเห่ามาหอน แม้แต่เป็นสุนัขก็ยังตระหนี่”

แล้วลูกชายโกรธ โกรธว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ก็พิสูจน์กัน พิสูจน์กันก็ยอมรับ บอกให้ไปขอเลยขอสมบัตินั้น นี่เป็นสุนัขก็ยังตระหนี่...พอขอสมบัตินั้น ก็ไปตะกุย ให้คนใช้ขุด ขุดลงไปเจอไหทองคำฝังอยู่ทั้งนั้นเลย

สิ่งที่ไม่ได้แก้ไขนะ เวลาตายแล้วไปเกิดสถานะอะไร เวลาตายไปแล้ว ตายไปก็ยังมาเกิดเป็นสุนัขอีก เวลาตายนี่เราคิดว่าตายแล้วก็จบ...มันไม่จบหรอก มันจบไม่ได้ มันจบไม่ได้เพราะจิตมันไม่เคยตาย แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรานะ เราจะแก้ไขของเรา ถ้าเราแก้ไขของเรา แล้วมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เรื่องที่เราจะแก้ไขของเรานะ

ดูสิ ดูเวลาความสุขในหัวใจ ใครเขาจะมาช่วยเหลือเราได้ เวลาเราทุกข์ขึ้นมา ทุกข์เจ็บแสบปวดร้อนในหัวใจ ใครมาช่วยเหลือเราได้? ก็ปลอบประโลมไปกันเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าเราทำไม่ได้มันก็เป็นความทุกข์ในหัวใจของเราตลอดไปใช่ไหม แต่เพราะมีความเชื่ออันนี้ไง มีความเชื่ออย่างนี้เราถึงแสวงหากัน เราถึงอุตส่าห์มากัน เรามานี่เรามาฟังธรรม ธรรมนี้มันเกิดมาจากไหน

เห็นไหม ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ชีวิตเราก็เป็นธรรมชาติ ชีวิตการครองเรือนมันธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ การแสวงหานะ กินก็เป็นธรรมชาติ การขับถ่ายก็เป็นธรรมชาติ แล้วเป็นธรรมชาติแล้วมันได้อะไรขึ้นมา? มันก็สูญเปล่าไง “ธรรมชาติที่สูญเปล่า” ธรรมชาติที่มันเวลาฝนตกแดดออก เราไม่ได้เก็บพลังงานอันนั้นไว้ ดูสิ เวลาฝนตก ถ้ามีเขื่อนมันก็กักน้ำไว้ใช้เป็นประโยชน์ได้ แดดออกมาถ้าเรามีแผงโซล่าเซลล์ เราเก็บพลังงานนั้นเอาไว้ใช้ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ เราต้องตั้งสติสิ ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา มันจะเริ่มเก็บนะ ดูภาชนะสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ ถ้าภาชนะมันคว่ำอยู่ ฝนตกแดดออกขนาดไหนมันไม่ได้สิ่งใดเลย ถ้าหงายภาชนะขึ้นมา ฝนตกแดดออกนะ มันได้น้ำนะ เพราะภาชนะหงายขึ้นมา หัวใจเราถ้าหงายแล้วมันจะแสวงหาอย่างนี้ แต่มันไม่กล้าไปไง เพราะมันอายโลกเขา โลกเขาบอก “คนที่ไปวัดไปวาไปต่างๆ เป็นคนที่มีปัญหา” ใช่ มีปัญหาแน่นอน คนเกิดมามีปัญหาทั้งนั้นนะ เพราะมันเป็นความทุกข์ มันมีกรรม กรรมถึงพาเรามาเกิด

แต่มันเป็นคนที่ฉลาดต่างหากล่ะ คนที่ฉลาด เขารู้ว่าเขามีปัญหาแล้วเขาจะแก้ไขปัญหาของเขา ปัญหานี้มีไว้ให้แก้นะ ในชีวิตนี้ยังมีอยู่ มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยังไม่สิ้นชีวิต นี่ปัญหานี้มีไว้ให้แก้ ถ้ามันแก้ได้นะ ถ้าแก้ปมสิ่งที่มันสกปรกในหัวใจเราได้ เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

“แล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วไม่ได้อะไรเลย” นี่เวลากิเลสมันพูดกันนะ ไปสวรรค์ก็ไม่อยากไป ไปไหนก็ไม่อยากไป อยากจะเป็นมนุษย์เสพสุขอย่างนี้มันว่าประสานะ มันไม่เจ็บไข้ได้ป่วยนี่ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันจะยอมรับความจริงเลย สิ่งที่เป็นโลกๆ เราว่าสิ่งนี้จะเสพสุขไง นี่มันไม่ยอมไป แต่ถ้ามันจะยอมไปขึ้นมา เรามีความตั้งใจ เพราะมีเจตนาขึ้นมาจากใจนะ

เพราะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันมีอยู่โดยธรรมชาติ ที่ไหนก็มีอยู่ แต่ถ้าหัวใจเราใส่ใจแล้วเอามาค้นคว้า สิ่งที่มันมีอยู่แต่มันไม่มีใครเก็บประโยชน์จากมัน เหมือนฝนตกแดดออกแล้วภาชนะมันคว่ำอยู่ มันไม่ได้เป็นประโยชน์กับมัน แต่ถ้ามันหงายขึ้นมานะ หัวใจมันหงายขึ้นมา เริ่มต้นขึ้นมาเราก็แสวงหาของเรา เราก็จะตั้งใจของเรา เราต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา มันจะใฝ่งานกระทำ คนไม่เชื่อจะไม่ทำอะไร ถ้ามีคนเชื่อมีเจตนา มันจะทำของมันเอง ของอยู่กับเรา หัวใจอยู่กับเรา สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอยู่กับเรา แต่เราต้องไปให้ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่เป็นคนชี้พยากรณ์ให้เราล่ะ

สิ่งนี้เหมือนกัน ความสุข ความทุกข์มันเป็นเรื่องของหัวใจของเรา ความรู้สึกของเรามันปฏิเสธไม่ได้ ความลับไม่มีในโลก หัวใจเรารับรู้อยู่นี่ สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจเราอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าเราตั้งสติขึ้นมา มันก็หงายภาชนะขึ้นมา ตั้งสติแล้วกำหนดบริกรรมพุทโธ พุทโธ ด้วยความเชื่อของเรา ด้วยความเชื่อของเรานะ แล้วทำไปโดยที่ให้มันเป็นสัจจะความจริง ให้เป็นปัจจุบันธรรม ถ้ามันสงบขึ้นมานะ จิตเรานี่ ความรู้สึกอันนี้มันปฏิเสธกันไม่ได้เลย ถ้าสิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้ เราทำความสะอาดได้หนหนึ่งหนหนึ่ง แล้วนึกดูสิ ดูเวลาร่างกายของเรา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา มันขับเหงื่อขับไคลมา เราต้องทำความสะอาดทุกวัน ทุกๆ วันเลย

แล้วนี่เหมือนกัน แล้วมันสงบหนสองหน จิตในเมื่อมีกิเลสอยู่มันก็ขับออกมาธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ ความฟุ้งซ่านจะมีในเราตลอดไป ถ้ามันทำความสงบของเราได้ เราตั้งสติของเรา มันมีเหตุผลอันสมควร มันสงบได้ ความสงบได้เพราะอะไร เพราะเหตุ ถ้าเหตุสิ่งนั้นมีขึ้นมา เหตุมากเหตุน้อย ถ้าเหตุมากขึ้นมา ความสงบก็ยั่งยืนหน่อย ถ้าเหตุน้อยมันสงบขึ้นมา แล้วมันมีพลังขึ้นมา แต่เดี๋ยวมันก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา

ดูสิ อย่างที่บอกการเหาะเหินเดินฟ้า คนที่จะเหาะเหินเดินฟ้าได้มันต้องทำจิตนิ่ง คือว่ามีพลังงานอยู่ตลอดไป การเข้าสมาบัติเขาต้องรักษาไว้อย่างนี้ แล้วถ้าเป็นความสงบของใจ ความสงบของใจมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาสมาธิ เรามีสติอยู่ เราไม่ใช่ฌานสมาบัติ ถ้าฌานสมาบัติ เวลาเข้าไปแล้วมันมีพลังงาน สิ่งที่มีพลังงาน ดูสิ ดูอย่างพลังงาน น้ำมันแต่ละชนิดเขาใช้เครื่องยนต์แต่ละชนิด สิ่งที่แต่ละชนิดแล้วเวลาเก็บรักษาก็ต่างกัน น้ำมันเบนซินถ้ามันเกิดไฟ มันจะรักษา มันต้องเก็บให้พ้นจากความร้อน ถ้าเป็นน้ำมันโซล่า น้ำมันเตาอย่างนี้ มันเจอความร้อนมันก็ไม่ค่อยเป็นอันตราย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันจะใช้ประโยชน์ การเก็บรักษามันจะง่าย แต่ถ้ามันเป็นฌานสมาบัติ มันเหมือนกับน้ำมันที่มันโดนความร้อน มันจะมีไป สิ่งนี้ สิ่งที่เป็นสัมมาหรือเป็นมิจฉามันต่างกันตรงนี้ ถ้าต่างกันตรงนี้แล้วการบำรุงรักษา การใช้งานก็ต่างกัน ถ้าการใช้งานต่างกัน ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา พยายามตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ ถ้ามีอำนาจวาสนา มันจะเห็นสภาวะของมัน

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

ฟังสิ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม มันจะใส จิตนี้ใส จิตนี้ว่าง ว่าง มีแสงสว่างต่างๆ อันนี้มันเป็นคุณภาพของจิตนะ ถ้าคุณภาพของจิตเรานี่ เราสร้างสมบุญญาธิการมา เห็นไหม ดูสิ ดูความชอบเราต่างกัน ความชอบอาหารก็ต่างกัน ความชอบของการรักษาของก็ต่างกัน กิริยาก็ต่างกัน ความต่างกันมันมาจากรากเหง้าอันนี้ รากเหง้าเป็นจริตนิสัยอันนี้ แล้วถ้าจิตมันมีคุณสมบัติต่างกัน ถ้ามันสงบเข้าไปนะ ใสมาก ใสน้อย ใสต่างๆ

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

ถ้ามันสงบมันผ่องใสขนาดไหน...ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความผ่องใสนี่ใครเป็นคนรู้? จิตนี่รู้ความผ่องใส จิตนี่รู้ต่างๆ เหมือนกับเราสกปรก ร่างกายสกปรก ถ้าเราทำความสะอาดขึ้นมามันก็ผ่องใส สิ่งที่ผ่องใส ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ มันก็ติดในความผ่องใส ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่ติดๆ มันมีความสุขนะ คนเรานะสกปรก ดูสิ จิตนี่มันคลุกอยู่ มันฟุ้งซ่าน มันมีแต่ความลุ่มความหลง มันมีแต่ขี้ ความสกปรกทั้งจิตเลย แล้วมันชำระสะอาดได้เป็นครั้งคราว มันจะเห็นผลไหม? มันเห็นผล เห็นไหม

“ความสุขเท่ากับจิตสงบไม่มี” จิตสงบนี่นะมันหาซื้อไม่ได้ เงินทองมีมากมายขนาดไหนก็หาซื้อไม่ได้ เราทำบุญกุศลกัน เราสละทานกันนี่ สละทานเป็นพื้นฐาน การพื้นฐานให้มันมีความปลื้มใจ ความปลื้มใจนี่สุขเกิดจากอามิส มันต้องมีผลตอบแทน มันถึงมีความสุขขึ้นมา แต่สุขที่เกิดขึ้นมาจากสัมมาสมาธิ สุขที่เกิดขึ้นมาจากตัวมันเอง

ดูสิ ในการประพฤติปฏิบัติ ที่ว่ากำหนดความรู้ต่างๆ กำหนดนามรูปกำหนดต่างๆ แล้วรู้ว่าว่าง รู้ว่าว่าง นี่เกิดจากอามิส เกิดจากอามิสเพราะมันรู้ว่าว่าง สิ่งที่รู้ว่าว่างๆ คำพูดอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าว่างกับตัวเองว่างมันต่างกัน ถ้าเป็นจิตสงบนะ ตัวเองมันว่าง มันไม่ใช่รู้ว่าว่างนะ

รู้ว่าว่างนี่มันเกิดกระทบใช่ไหม เพราะผู้รู้ตัวหนึ่ง ความว่างอันหนึ่งที่เราไปรับรู้ คือจิตมันฟุ้งซ่านไง แล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไป มันปล่อยวาง รู้ว่าว่างอย่างนี้ ถ้ามันใคร่ครวญต่อไป มันจะรู้ตัวเองมันว่าง เพราะมันจะทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจ สิ่งอย่างนี้ถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยชี้นำนะ เราก็ประพฤติปฏิบัติไป มันก็ต้องพยายามค้นคว้าของเราไป มันทำได้ยาก

อำนาจวาสนาสมบัติจากโลก ดูทำงานทำการกัน เขาหาอยู่หากินกัน เขายังต้องลงทุนลงแรงนะ ได้สิ่งใดมา การแสวงหาเป็นเรื่องหนึ่ง การเก็บรักษาเป็นเรื่องหนึ่งนะ ถ้าคนทำการทำงานแล้วใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันจะมีฐานะขึ้นมาได้ไหม เราแสวงหามาได้มากได้น้อย แต่เรารู้จักเก็บรู้จักรักษานะ เราจะมีสมบัติของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันสงบเข้ามา มันทำความสงบของใจเข้าไป จิตมันจะสงบขนาดไหน จิตมันจะทำได้ขนาดไหน สิ่งที่ทำมาในหัวใจนะมันต้องมีสติ แล้วคนต้องมีบุญญาธิการ ต้องมีบุญถึงอยากออกประพฤติปฏิบัติ ไปเห็นความทุกข์ในโลกไง เห็นความทุกข์ในโลกนะ โลกเขาเป็นความทุกข์อย่างนี้ แล้วการประพฤติปฏิบัติมันมีความทุกข์มากขึ้นมาไหม? มันมีสิ ทุกข์อันนี้มันทุกข์เพราะเหตุไง

ความเพียรชอบ ความเพียรนะ ความวิริยอุตสาหะ โลกเขาก็ทำกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเราก็ต้องมีความเพียร เราก็ต้องมีความวิริยอุตสาหะ แล้วมันเป็นนามธรรม อุตสาหะที่ไหน สตินี่มันเกิดมาจากไหน? สติมันเกิดจากจิต ไม่ใช่จิตนะ ถ้าสติเป็นจิต เราเกิดมา เรายังไม่ตาย เราจะมีจิตตลอดไป จิตนี้มันจะอยู่กับเราตลอดไปเลย เว้นไว้แต่จิตเคลื่อนออกจากร่างมันถึงตาย คนนอนหลับก็มีความรู้สึกอยู่ ยังมีจิตอยู่ แล้วมีสติไหม ถ้ามีสติมันหลับได้อย่างไร มันหลับไป มันตกภวังค์ก็หลับไป สิ่งนี้มันขาดสติมันถึงหลับไป

แต่ถ้ามันกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนเราหลับไปกับพุทโธ สิ่งที่เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เราก็ตั้งใจของเรา คำบริกรรมของเราให้ชัดเจน แต่ขณะที่เรากำหนดว่าเราจะพักผ่อน เราก็กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนกว่าเราจะหลับไป แล้วมันจะไม่ฝันร้าย มันจะฝันดี สิ่งที่ฝันดีเพราะมีสติหลับ หลับไปพร้อมสติ สติหลับไปกับจิตไปเลย แต่ขณะที่สติไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่สติ เวลาจะฝึกสติ สติมาจากไหน สติมาจากจิต แต่ไม่ใช่จิต เกิดจากจิต แต่ไม่ใช่ตัวจิต

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปถึงที่สุด ว่าสติกับจิตต่างๆ รวมเป็นหนึ่งเดียว มันเป็นอัตโนมัติหมดเลย อัตโนมัติต่อเมื่อเราคิดใคร่ครวญ แต่โดยสัญชาตญาณมันธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขานะ เพราะจิตมันไม่ออกรับรู้ไง การเคลื่อนไหวนี่เป็นสัญชาตญาณ แต่ที่จิตไม่ออกรับรู้นะ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ ถ้าเป็นอัตโนมัติอย่างนั้น ผู้ที่ทำมาถึงที่สุดแล้ว ชำระจนสะอาดหมดจด แต่ของเรานี่มันสะอาดชั่วคราว

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

อุปกิเลสตรงไหน? ว่า “จิตนี่ผ่องใสเป็นสภาวธรรม” แล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อม

นี่ไง อุปกิเลสมันหลอกเราไงว่าจิตนี้ว่าง จิตนี้ผ่องใส จิตนี้ต่างๆ จิตว่างจิตผ่องใสนั่นน่ะ เราทำอะไรมันถึงผ่องใสล่ะ ถ้ามันผ่องใสอย่างนี้มันผ่องใสเป็นประโยชน์กับเราไหมล่ะ ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์ขณะที่มันผ่องใสนี่เป็นประโยชน์นะ แต่ขณะที่มันเสื่อมไปแล้วไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะเหมือนเศรษฐี เวลาสมบัติเราหายไป เราต้องเสาะหาสมบัติเราใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเคยสงบ จิตมันเคยสัมผัส แล้วมันเสื่อมไปนะ การประพฤติปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้น การยึดเมืองนี่แสนยากเลย แต่การรักษาเมืองยากกว่า

นี่ก็เหมือนกัน ความสงบของจิต กว่าเราจะทำขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา กว่าเราจะสงบ ต้องเริ่มต้นฝึกฝน คนฝึกฝนใหม่ คนทำงานไม่เป็น ดูสิ เวลาเราสมัครงานกัน ต้องทดลองงาน ต้องอะไรเพื่อให้เป็นก่อน แล้วถึงจะรับเข้ามาทำงาน นี่ก็เหมือนกัน การฝึกของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พูดกันชินปาก ฟังกันจนชินหู แต่หัวใจมันด้าน นี่ไง มันด้านเพราะอะไร เพราะมันมีขี้อยู่ในใจไง มันมีความหลงอยู่ในหัวใจ

ว่า “สิ่งนี้ศึกษาแล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว”...รู้ ถ้ารู้มันต้องเป็นประโยชน์กับเรา รู้อย่างนั้นรู้เป็นภาคปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีปูนหมายป้ายทาง ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเป็นประเพณีวัฒนธรรมไว้ เราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเริ่มต้นตรงไหน เริ่มต้นให้เราศึกษาให้เป็นวัตถุ ให้...ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมนี้ออกมาจากจิตที่เป็นสะอาดบริสุทธิ์ ธรรมอันนี้จะบริสุทธิ์ไม่ให้กิเลสเจือปนมาเลย

แต่ถ้าธรรมออกจากหัวใจของปุถุชนนะ มันก็เอาขี้ออกมาให้เราได้ฟังกัน เพราะอะไร เพราะขี้หลง มันหลงอยู่ในหัวใจ คนหลง คนมืด คนบอดมันจะเอาความจริงมาจากไหน ในเมื่อพูดออกมามันก็พูดมาจากความหลงในใจ ก็ท่องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่องผิดท่องถูก แล้วท่องต่อไปข้างหน้า พูดคราวนี้อย่างหนึ่ง พูดคราวหน้าอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นความจริง มันเป็นความจริงออกมาจากข้อเท็จจริงอันนั้น มันหลงไปไม่ได้ เพียงแต่วิธีการ แล้วแต่จริตนิสัยของสัตว์โลกแต่ละบุคคลที่จะประพฤติปฏิบัติเข้าไป ถ้าประพฤติปฏิบัติเข้าไปมันก็ต้องแก้ตามอาการนั้น แก้ตามอาการนั้นนะ

สมบัติของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลก็ไม่เหมือนกัน ความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน เหมือนกันด้วยคุณสมบัติ ต่างกันด้วยจริตนิสัย คุณสมบัติต้องเหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ต้องเหมือนกัน เหมือนกันของผลไง ผลต้องเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกัน ต่างกันก็จริตนิสัยต่างกันอย่างนั้น เราจะฟังธรรมอย่างนี้ไว้เป็นคติเป็นตัวอย่าง เป็นคติให้เรามีกำลังใจนะ

ดูสิ ดูนักกีฬา เวลาเขาจะแข่งขัน เขาต้องฮึกเหิมนะ ถ้านักกีฬาลงไป คิดทำแต่หน้าที่นะ อย่างมากก็มีเสมอกับแพ้เท่านั้นล่ะ แต่ถ้าฮึกเหิมขึ้นมา ขนาดเขาแข่งขันกีฬากันเพื่อการชนะของเขา นี่เราจะเอาชนะกิเลสนะ เราจะทำความสะอาดของใจ สิ่งที่มันสกปรกมันเป็นเนื้อของใจนะ

กิเลส ดูสิ เวลาเราเกิดนะ เกิดตายแต่ละภพแต่ละชาติ ใครเกิดใครตาย จิตปฏิสนธินี่มันไปเกิด ตาย สิ่งนี้มันละเอียดมาก ละเอียดมากแล้วพามาเกิด มันก็มีอวิชชา อวิชชานั้นคืออะไรล่ะ? อวิชชานั้นคือขี้ แล้วขี้นั่นไปกับอะไร? นี่ใสขนาดไหนมันมีสิ่งที่กิเลสมันละเอียดไปอย่างนั้น ดูสิ ดูเวลาทางโลก ถ้าคนกระโชกโฮกฮาก เขาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังนะ คนเรานะ ถ้าพูดตรงไปตรงมา แก้ไขกันง่ายๆ นะ แต่ถ้าคนเรา พูดจานิ่มนวล แล้วว่าสิ่งนี้สิ่งที่พูดจานิ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีงาม เห็นไหม สิ่งที่ดีงามมันเป็นขี้ที่ละเอียดนะ สิ่งที่เป็นขี้เป็นวัตถุ เราล้างได้ง่ายๆ เลย แต่สิ่งที่มันเป็นเคลือบไว้อยู่ในตัวเด็ก สิ่งที่เคลือบไว้ มันล้างได้ยากขึ้น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันฝังใจมันเหมือนกันนะ เหม็นเหมือนกัน ขี้เหมือนกัน แต่ขี้เหลวหรือขี้เป็นก้อนเท่านั้นล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกในหัวใจมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นสภาวะแบบนั้น มันอยู่ที่วิธีการที่เราจะทำความสะอาดของเราได้ไหม

ดูสิ เวลาจิตมันสงบเข้ามาแล้ว พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม “จิตกับธรรม” จิตมันคืออะไร? จิตคือมันผ่องใส มันผ่องแผ้ว มันเศร้าหมอง นี่ดูจิต ดูอาการของจิต แล้วถ้าธรรมล่ะ ถ้าสภาวธรรม ถ้าพิจารณาธรรมมันเป็นธรรมหรือยัง? มันเป็นธรรมในอริยสัจ มันเป็นธรรมโดยสมมุติ เราสมมุติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิเคราะห์วิจัยธรรมไง

เวลาเราวิปัสสนา ถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าจิตมันสงบ “วิจัยธรรม” แต่ถ้าจิตมันยังไม่สงบนะ การวิปัสสนาหรือการวิจัยธรรมมันก็เป็น “ปัญญาอบรมสมาธิ” เพราะความคิดนี้ออกมาจากขี้ ความรู้สึกนี่มันออกมาจากขี้ ออกมาจากอวิชชา ในเมื่อเรายังมีอวิชชาอยู่ เราคิดอย่างนี้ไป กระบวนการของที่สุดของมันคือสมถะ คือการปล่อยวาง มันสะอาดชั่วคราวๆ แต่ถ้าเราชำระเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันสะอาดโดยเนื้อแท้เลยนะ มันมหัศจรรย์ตรงนี้ไง

ถ้าเราเป็นมนุษย์ เรามีร่างกาย เรายังมีการกินอาหารอยู่ เราต้องขับถ่ายตลอดไป ถ้ายังมีอวิชชาอยู่มีกิเลสอยู่ ยังมีขี้อยู่ ความคิดนี่มันก็วนเวียนในวัฏฏะตลอดไป มันก็เป็นขี้ตลอดไป แต่ถ้าเราวิปัสสนาไปจนเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคาขึ้นเป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันจะไม่มีขี้เลย มันก็เป็นความมหัศจรรย์ที่ว่าเรากินอาหารเข้าไปแล้วไม่มีการขับถ่ายเลย อาหารนี่มันเป็นธรรมะไง ธรรมที่เกิดกับใจมันจะไม่มีเลย เห็นไหม มันถึงไม่มีบาปมีกรรม มันเป็นกิริยาเฉยๆ

จิตที่สิ้นกิเลสไปแล้วมันเป็น “กิริยาของธรรม” มันไม่ใช่ตัวธรรม ถ้าตัวธรรมคือความรู้สึกอันนั้นไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เวลาพระอานนท์ถามว่า “เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว คุณธรรมจะหมดเมื่อไหร่ในโลกนี้”

“อานนท์ เราไม่เคยเอาธรรมของใครไปเลยนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ไม่ว่างจากพระอรหันต์เลยเพราะอะไร เพราะคุณสมบัติมันเกิดที่จิต แล้วคนเราปฏิบัติกัน เรานั่งอยู่นี่เรามีหัวใจไหม? เรามีหัวใจทุกคนนะ เรามีความรู้สึกทุกคน เรามีสิทธิกันทุกคน เพราะหัวใจนี้มันสกปรก แล้วถ้ามันสะอาดขึ้นมาก็อยู่นี่ไง ถ้าจิตใจมันสะอาดขึ้นมา เราชำระให้มันสะอาดขึ้นมา แต่ขณะที่เราวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมที่สภาวธรรมที่เราใคร่ครวญอยู่นี้ มันใคร่ครวญโดยโลก โดยโลกก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ถ้าจิตมันสงบนะ เห็นอาการของใจ จิตนะ นี่ใจ ใจคือตัวจิต จิตมันสงบเข้ามา แล้วจิตสงบเฉยๆ เราทำความสะอาดเด็กสิ เด็กนี่เราอาบน้ำมัน แล้วมันนอนเล่นของมันนะ เดี๋ยวมันก็ขับถ่ายอีก เห็นไหม ถ้ามันขับถ่าย เราอยู่ใกล้เด็ก เราจะทำความสะอาดเรื่อยๆ มันจะไม่คลุก มันจะไม่ทำให้เปรอะเปื้อน แล้วมันไม่เอาขี้นั้นใส่ปากมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้ว เวลาเราทำจิตสงบ มันสะอาด เริ่มสะอาดอีก เดี๋ยวมันก็ขับถ่ายอีก พอขับถ่าย อาการของใจไง ถ้าจิตมันออกรับรู้ นี่ไง มันออกกินขี้ จับได้ เราแยกแยะมันไง ถ้าจับอาการอย่างนี้ วิตกวิจารธรรม สภาวธรรม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสภาวธรรม “กาย เวทนา จิต ธรรม” สิ่งสภาวธรรมคือความรู้สึก ความรู้สึกที่จิตมันออกมาถึงขันธ์ ๕ ถ้าเราจับนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความรู้สึก ความคิดไง สภาวธรรม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัมโพชฌงค์ การวิจัย การวิเคราะห์ สติสัมปชัญญะต่างๆ แล้วตัวไหนมันเป็น เราจับตรงนั้นแล้ววิปัสสนาไป วิปัสสนาคือกำลังที่มันพออยู่ มันแยกได้ มันใคร่ครวญได้แล้วมันจะปล่อย นี่ความสะอาดอย่างนี้มันเป็นความสะอาดของเนื้อแท้ เพราะถ้าเราเป็นแพทย์ เราเป็นหมอนะ เด็กมันต้องขับถ่ายโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันกินอาหารเข้าไปมันก็ขับถ่าย ถ้าเราเป็นหมอ เราจะไม่โกรธเด็กเลย เราจะเข้าใจสัจจะความจริงว่า ในเมื่อเด็กมันกินอาหารเข้าไป พออาหารเข้าไปมันย่อยแล้วมันก็ขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราวิปัสสนาของเราเข้าไป มันเห็นสภาวะจิต แล้วว่าจิตนี่มันแยกแยะอย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วมันมีข้อมูล ข้อมูลคืออารมณ์ความรู้สึกไง ความรู้สึกมันเกิดจากอะไรล่ะ? เกิดจากวิญญาณรับรู้ แล้ววิญญาณรับรู้ ถ้ามันรับรู้ สิ่งนี้มันเป็นความถูกต้องหรือความผิดพลาดล่ะ ถ้าเป็นความถูกต้อง มันเป็นสภาวธรรม เราเห็น เราเข้าใจแล้วมันก็ปล่อยวาง แต่ถ้าเป็นความผิด ผิดเพราะใคร ผิดเพราะอะไร? ผิดเพราะเราไม่รู้ ผิดเพราะเรามีอวิชชา ผิดเพราะเราไปยึดมั่นมัน นี่มันใคร่ครวญ ก็เหมือนกับเด็กที่มันกินอาหารนั่นน่ะ มันต้องขับถ่ายของเสียออกมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าวิปัสสนาไป มันจะเห็นโทษของมัน มันจะทำความสะอาดของมันเข้าไป ถ้าสิ่งที่ทำความสะอาดเข้าไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ต้องบ่อยครั้งเข้านะ ดูสิ กว่าที่เราจะเป็นหมอ กว่าที่เราจะเข้าใจถึงธรรมชาติของร่างกายของเด็กที่มันขับถ่ายโดยธรรมชาติของมัน มันขับถ่ายโดยธรรมชาตินี้มันเป็นวัตถุ เราเห็นกันง่ายๆ

แต่ขณะที่จิตมันขับถ่าย มันขับถ่ายให้แต่ความทุกข์เรานะ เวลาเรายึดมั่นถือมั่นความรู้สึกของเรา แล้วสิ่งนี้มันขัดแย้งกับความต้องการของกิเลส กิเลสมันต้องการ...เรื่องของกิเลสมันหน้าด้าน เรื่องของกิเลสมันไม่ยอมรับความจริง มันจะบอกว่า “สิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้เรารู้ความจริง” แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็หน้าด้าน มันหน้าด้านว่าไปยึดของมัน เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่าเป็นขี้ ขี้ออกมามันยังบอกว่าสิ่งนี้เป็นของมันเลย

ถ้าเราปฏิบัติของเราโดยสัจจะความจริง เราพยายามตั้งสติของเราแล้วแยกของเรา แยกของเรา พยายามแยกออก แยกออกด้วยกำลังนะ นี่ด้วยปัญญา ถ้าปัญญาอย่างนี้ มันเป็นวิปัสสนา ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกุตตรปัญญา เพราะมันเกิดในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม มันเกิดจากอริยสัจ มันไม่ใช่เกิดจากตำรา มันไม่ใช่เกิดจากสัญญา ความรู้ที่เราจำมาจากตำรานี่มันเป็นสัญญา มันเป็นข้อมูล เหมือนเด็กที่มันขับถ่ายมาแล้วมันไม่รู้เรื่องของมันเลย มันจับใส่ปากมัน มันไม่รู้เพราะมันไม่รู้

แต่ถ้าเกิดจากเรามันเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันเกิดมาจากจิตที่เป็นสมาธิ จิตที่มันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันรับรู้ ตั้งแต่สงบเข้ามามันก็ร่มเย็น พอร่มเย็นขึ้นมา มันมีกำลังนะ แล้วมันออกไปทำงาน

ดูสิ เด็กนี่เราเอาไปไว้ในที่มันไม่เคยไป ในที่เวลาเขามีงานนักขัตฤกษ์ เขาจะบอกเลยนะ ถ้าใครเอาลูกเอาหลานมา ขอให้เขียนชื่อเขียนที่อยู่ใส่กระเป๋าไว้ ถ้ามันพลัดพรากขึ้นมา เขาจะได้เอาไปส่งที่บ้านได้ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่...ไม่ต้อง เพราะผู้ใหญ่เขารู้จักทาง ผู้ใหญ่เขาใช้ปัญญา เขาเคยผ่าน เขาเคยมีประสบการณ์มา

จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันวิปัสสนาไป มันยังทำของมันไม่ได้ กำลังมันไม่พอ มันจะไม่มีกำลังของมัน การกระทำของมัน มันก็เป็นเรื่องโลก มันก็เป็นโลกียปัญญา แต่ถ้ามันมีกำลังของมัน มันเหมือนเป็นผู้ใหญ่ เพราะจิตมันสงบเข้ามา จิตมีรากมีฐานเข้ามา แม้แต่ความสงบ ถ้าใครปฏิบัตินะ ภิกษุเรา พระเราถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันมีพออยู่พอกินไง พออยู่พอกินเพราะจิตมันสงบ แล้วจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันไม่แส่ส่ายนะ

ถ้าจิตไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันแส่ส่าย มันคิดไปร้อยแปดพันเก้า แล้วกิเลสมันอยู่หลังความคิดเรานี่ มันจะใส่ฟืนใส่ไฟนะ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องเชื่อมัน เห็นไหม เหมือนเด็กมันเอาขี้ใส่ปาก เด็กมันไม่รู้ว่าขี้ เพราะมันไร้เดียงสา เด็กอ่อนมันไร้เดียงสา ไม่มีวุฒิภาวะอะไรเลย อะไรก็ได้ที่มันจับใส่ปากได้มันจะใส่ปาก ไม่รู้ว่าของดีหรือของเสีย แต่ถ้าเป็นพ่อแม่เขาจะยับยั้ง

นี่ก็เหมือนกัน คำว่า “พ่อแม่” คือครูบาอาจารย์ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันคิดขึ้นมา อย่างนั้นน่ะมันคิดได้ คิดของมันโดยสามัญสำนึกของมัน สามัญสำนึกก็สามัญสำนึกของขี้ ของอวิชชาไง แต่ถ้าเป็นสามัญสำนึกของธรรมนะ จิตมันตั้งมั่น เพราะจิตมันสงบขึ้นมามันจะเห็นโทษ ถ้าคิดอย่างนี้กิเลสพาคิด เราก็โดนมันพาคิดมา มันทำให้เราเศร้าหมอง มันทำให้เราสกปรกแต่ไหนแต่ไรตลอดมา เราถึงต้องมาเกิดมาตายอยู่นี่ไง

แม้แต่ทำคุณงามความดีก็ติด ทำสิ่งใดก็ติด “ติดดี” ติดดีแก้ยาก “ติดชั่ว” ทุกคนรู้ว่าสังคมเขาไม่ยอมรับ ติดชั่วต้องแอบทำ ทำความชั่วโดยซึ่งหน้ามันแบบว่าเราเป็นคนไม่ดี อยากจะเป็นคนดีแต่อยากทำความชั่วก็แอบทำ แต่ถ้าเป็นคนดี เราทำดี...ทำดีก็อยู่ในวัฏฏะไง ทำดีก็เวียนตายเวียนเกิดนี่ไง ทำดีก็ติดดีไง ติดดีนี่แก้ยากกว่าติดชั่วอีก แต่มันก็ต้องแล้วแต่จริตนิสัย

ถ้าเป็นความดีความชั่ว ความดีความชั่วของใคร? ความดีความชั่ว ดูสิ โลกเขาว่ากัน เขาปล้นมาก็ปล้นมาเพื่อพ่อแม่เขา ปล้นมาเพื่อเลี้ยงครอบครัวเขา เขาทำโทษกับคนอื่น เพราะเขาไปปล้นจี้ของคนอื่นมา แต่เขาเป็นคุณงามความดีของเขานะ เพราะเขามาเลี้ยงครอบครัวของเขา นี่กิเลสมันหน้าด้าน มันอ้างขนาดนี้ สิ่งที่มันเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องหน้าที่รับผิดชอบ เราก็พยายามทำของเราให้มันถูกต้อง ให้มันดีงาม เพราะเรามีศีลธรรม เราเห็นถึงการกระทำไง ว่าทำดีอย่างนี้ ทำชั่วอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของกฎหมายโลกนะ

แต่กรรม เราไปทำลายเขา เราไปแย่งชิงของเขา สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจเขาไหม เขาทุกข์ยากกว่าเราขนาดไหน เขาก็หาอยู่หากินของเขามา แล้วเราไปหยิบฉวยของเขามาเพื่อประโยชน์กับเราเอง เห็นไหม มันทำไม่ลง แล้วทำไม่ลงนะ ถ้าเราไม่มีนะ เราขอเขาดีกว่า เราขอความช่วยเหลือเขา นี่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง ใครก็อยากช่วยเหลือกันเพราะอะไร เพราะการช่วยเหลือกันมันเป็นเรื่องของธรรม ถ้าหัวใจเป็นธรรม มันเป็นสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าในหัวใจของเรา เราทำคุณงามความดีของเราขึ้นมา มันเป็นโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมนะ จิตนี้เวลาวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นครั้งเป็นตอน ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ มันเป็นตทังคปหาน เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” เวลามันพิจารณาไปมันปล่อย มันปล่อย เห็นไหม วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

แต่ถ้ามันจับหลักเกณฑ์ได้นะ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ถ้าจับต้องกาย เวทนา จิต ธรรมแล้ววิปัสสนาไป มันจะเป็นธรรม ที่ว่าสิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมมันมีกำลังแล้วมันปล่อยๆ ปล่อย มันจะเวิ้งว้าง มันจะมีความสุขของมันนะ นี่ความสุขจากจิตสงบส่วนหนึ่ง ความสุขจากเราได้ใช้ปัญญา แล้วปัญญาอย่างนี้มันเป็นคุณสมบัติของครูบาอาจารย์เรา เป็นคุณสมบัติของนักปฏิบัตินะ คุณสมบัติอย่างนี้มันไม่มีในตำรา ไม่มีในที่ใดๆ ทั้งสิ้น

ในศาสนาพุทธเรา ถ้ามีการประพฤติปฏิบัติอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เป็นโลกียปัญญา สิ่งที่โลกใคร่ครวญ สิ่งที่จินตมยปัญญา ทางนักวิทยาศาสตร์ ในการประพันธ์ เขาเขียนจินตนิยายต่างๆ ให้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนทัศนคติของคน หล่อหลอมให้หัวใจของคนอ่อน หล่อหลอมให้หัวใจของคนได้มีการศึกษา ได้ให้กลับมาให้มีคุณธรรม สิ่งนี้เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย

แล้วถ้ามันเป็นคุณธรรมความจริงนะ ในหัวใจที่พ้นไปจากโลก มันเป็นภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญา เวลามันใคร่ครวญที่มันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวาง ปล่อยวางตรงไหน สิ่งที่เวลาหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์เราเทศน์ออกมา มันเทศน์ออกมาจากประสบการณ์ของจิตอย่างนี้ ถ้าประสบการณ์ของจิตอย่างนี้มันเกิดมา ถ้ามันปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางจนถึงที่สุด สมุจเฉทปหาน มันกลั่นมาจากอริยสัจไง

สิ่งที่จิตที่กลั่นออกมาจากอริยสัจนี้ เป็นจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์แรก ถึงเทศนาธัมมจักฯ ขึ้นไป จักรนี้เคลื่อนแล้ว สิ่งที่เป็นสิ่งที่เคลื่อนแล้ว เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวต่อๆ ขึ้นไป เวลาเทศน์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์กับพระปัญจวัคคีย์ ๕ องค์เท่านั้น มนุษย์มีอยู่ ๕ คน เป็นภิกษุ เป็นผู้ที่เป็นนักบวช ยังไม่ได้กล่าวออกบวชว่าเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์องค์แรกคือพระอัญญาโกณฑัญญะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ จนพระอัญญาโกณฑัญญะใช้ปัญญาไตร่ตรองตามโดยเห็นตามความเป็นจริงนะ

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” พอมันดับไปเป็นธรรมดา มันเหลือจิตไว้ไง มันเหลือความรู้สึกที่รับรู้ข้อมูลนี้ไว้ แต่เราว่าสิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา เราก็ท่องกัน ท่องกัน เรารู้กัน มันเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม สิ่งที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ มนุษย์มีอยู่ ๕ คน แต่เทวดานะเป็นหมื่นจักรวาล ส่งกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

สิ่งนี้มันเกิดจากความรู้สึกไง เทวดา อินทร์ พรหมมันเรื่องของความคิด เรื่องของนามธรรม แล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เต็มในหัวใจแล้วแสดงออกมา ถ้าไม่แสดงออกมานะ ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม เวลาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเต็มหัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่กราบไหว้บูชากัน แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เทวดานี่บรรลุธรรมกันมหาศาลเลย สิ่งที่เป็นธรรมจักรอย่างนี้ออกมาจากใจ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติที่ว่าเป็นความมหัศจรรย์ มันเกิดจากใจเรา ถ้ามันไม่เกิดจากใจเรา ใจมันคลุกอยู่กับความสกปรกโสมม ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่นะ เวลาโกรธขึ้นมา หัวใจมันเป็นทุกข์นะ เพราะมันเร่าร้อน พอเร่าร้อน ดูสิ โดยวิทยาศาสตร์ มันจะเข้าไปทำให้เลือดสูบฉีดแรงมาก กิริยาแสดงออกไปไม่มีสติสัมปชัญญะเลย

แต่ถ้าเป็นการแสดงธรรมนะ เวลาครูบาอาจารย์เรา ดูหลวงปู่มั่นสิ ครูบาอาจารย์นี่แสดงธรรม ถ้ามันแสดงธรรม ธรรมมันออกมาจากหัวใจนะ มันจะกัดจะฉีกเหมือนกัน แต่มันเป็นธรรมนะ มันเป็นธรรม มันเป็นเหมือนฝนตกฟ้าร้อง ต้องมีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนตกลงมานี่ชุ่มชื่น ในแผ่นดินได้น้ำได้ท่า ได้ประกอบสัมมาอาชีวะกัน นี่เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรม มันออกมามันไม่ใช่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นสภาวธรรม เพราะอะไร

เพราะมันถึงใจ เวลาเราถึงใจ ออกมาจากใจ มันถึงใจ มันออกไปตามธรรมชาติ แต่ถ้ามันไม่ถึงใจ มันต้องออกไปด้วยคุณสมบัติ ต้องให้นิ่มนวล ต้องให้ถูกอกถูกใจ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เห็นไหม “ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยพูด” ถ้ากิเลสมันบอกพูดไม่ได้ สิ่งนี้พูดไม่ได้ มันขัดหู ถ้ามันขัดหูมันขัดกิเลสนะ

นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการหรือว่าท่านสั่งสอนลูกศิษย์นะ ท่านเมตตาเรามหาศาลเลย ถ้าไม่เมตตา จะพูดทำไม พูดออกไปให้เขาเจ็บปวด พูดทำไม แต่ความเจ็บปวดนี้เพราะอะไร เพราะจิตมันสกปรก ถ้ามันแก้ไขของมัน มันจะสะอาดขึ้นมา แล้วมันเป็นเรื่องของเขา เหมือนพ่อแม่กับลูกเลย พ่อแม่นี่รักลูกมาก อยากให้ลูกเป็นคนดี เวลาพ่อแม่ติเตียนลูก ลูกเบื่อหน่ายมาก แต่เวลาลูกคนนั้นเติบโตขึ้นมา ถ้าลูกคนนั้นเติบโตขึ้นมาแล้วมีครอบครัว มีลูก ก็จะไปสอนลูกอย่างนี้ เห็นไหม มันเป็นไปตามวัย มันเป็นไปตามวุฒิภาวะของจิต

ถ้าเป็นวุฒิภาวะของจิตนะ แล้วจิตนี่มันภาวนา แล้วมันได้ฟังธรรม เหมือนกับเรานี่หิวกระหาย แล้วเราได้กินอาหารนั้น มันไปผ่อนความทุกข์ของเรา นี่มันอยากอาหารที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาครูบาอาจารย์นะ ถ้าเราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา ยิ่งออกแรงขนาดไหน นั่นน่ะธรรมะเด็ดๆ ถ้าธรรมะเด็ดๆ ออกมาอย่างนี้ ทุกคนอยากฟังอย่างนั้น แล้วถ้าฟังเทศน์ทุกวันๆ นี่ถ้ามันคลุกขี้อยู่ มันบอกว่าจืดชืด มันเบื่อหน่ายไง แต่ถ้าเป็นธรรมะเด็ดๆ มันเข้าถึงใจ เข้าถึงใจเรามันก็เข้าไปเพื่อจะกระเทือนขี้ในหัวใจของเรา

เวลามันพูดออกไป เขาจะโกรธ เขาจะเกลียดขนาดไหน มันไม่ได้เกลียดเขา แต่เพื่อให้เขารู้สึกตัว ถ้าเขารู้สึกตัวของเขา เขาจะแก้ไขของเขา ถ้าเขาไม่รู้สึกตัวของเขา แล้ววิธีการ เห็นไหม วิธีการจะให้เขารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้เขายึดมั่นนะ ถ้าเป็นกิเลสของเรา ความเห็นของเรา แล้วคนติเตียนเรา นี่ขี้มันจะมากขึ้น กองใหญ่ขึ้น มันจะยึดของมัน ยึดความรู้สึก ยึดความคิดว่าเราถูกต้องๆ

แต่ถ้าเราภาวนาขึ้นมานะ แล้วมันเป็นปัญญาของเรา แล้วมันทำลายออกไป มันชำระออกไป เหมือนเนื้อร้ายเลย ถ้าเนื้อร้ายเก็บไว้นะ มันจะทำให้ร่างกายเราเจ็บปวดไปมากๆ แล้วเนื้อร้ายมันจะเป็นแผลให้มากขึ้นจนเราจะเสียชีวิตได้

กิเลสก็เหมือนกัน มันจะทำให้เราเสียเวลา มันจะติดไง ถ้าติดอย่างนี้ เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม มันจะไม่ปฏิบัติต่อไปก้าวหน้า แต่ถ้ามันเป็นว่า สิ่งนี้เป็นอุปกิเลส ความสว่างไสว ความผ่องใส ความต่างๆ นี่กิเลสทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะมันมีจิตรู้ จิตมันรู้ความผ่องใส รู้ต่างๆ แต่ตัวจิตไม่ได้ชำระมัน แต่ถ้ามันย้อนกลับนะ เพราะอะไร เพราะมันติดในจิตกับธรรม

กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม จิตกับธรรม จิตผ่องใส จิตเศร้าหมอง จิตต่างๆ สิ่งนี้ความสะอาดมันจะเข้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าเราสะอาดขึ้นไป ยิ่งสะอาดมันจะเห็นเลย ขั้นของโสดาบัน มันละสักกายทิฏฐิ ขั้นของสกิทา ละสิ่งที่เป็นธาตุขันธ์ ถ้าเป็นขั้นของอสุภะ นี่กามราคะ

ดูสิ ดูขี้ มันจะผ่องใสขนาดไหน มันยังมีอยู่ตลอดไปจนถึงที่สุด เห็นไหม ถึงที่สุดนะ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จนถึงปฏิสนธิจิตนี่มันก็ยังเป็นขี้ เพราะมันเป็นมาร สิ่งที่เป็นมารเพราะอะไร เพราะมันไปเกิดบนพรหมนะ

สิ่งที่ไปเกิดบนพรหม เราจะต้องดูก่อนว่ากิเลสของเรามันน่ากลัวไหม ถ้ามันน่ากลัว เราจะยอมรับสิ่งนี้ ถ้าเรายอมรับสิ่งนี้ เวลาวิปัสสนาไปนะ ครูบาอาจารย์ท่านเห็นสิ่งนี้มาก่อน ท่านเห็นสิ่งที่มันเป็นไปของใจ ใจมันมีสิ่งนี้อยู่ในใจ แล้วมันสะอาดเข้ามา มันถึงเป็นความลึกลับ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำนะ เวลาทำเข้าไปมันติดหมด แม้แต่ขั้นของสมาธิก็ติดแล้วนะ

แล้วเวลาวิปัสสนาเข้าไป มันปล่อยวางหนหนึ่ง ก็ไปเหมาเอาว่าสิ่งนี้มันเป็นตทังคปหาน มันเป็นการปล่อยวางชั่วคราวไง มันปล่อยวางเพราะมันไม่มีขณะจิต มันไม่มีเหตุมีผล ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล เราว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่มันสวมนะ ธรรมะนี่บังเงา ถ้าบังเงานะ แล้วใจเรามันก็มีขี้อยู่แล้ว มันเชื่อ เพราะความสกปรกของใจ

คำว่า “ขี้” นะ แล้วสิ่งที่เราทำขึ้นมา เวลาปัญญามันหมุน คำว่า “ปัญญามันหมุน” มันเป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าไม่ใช่โลกุตตรปัญญา มันจะเกิดตทังคปหานไม่ได้ คำว่า “ตทังคปหาน” มันเห็นแยกแยะไง เหมือนเราเรียนหมอ แต่เรียนไม่จบ โดนรีไทร์ เราเรียนไม่จบใช่ไหม เราจะไม่เข้าใจกระบวนการทั้งหมด ว่าไม่เข้าใจก็เข้าใจ เพราะเรียนมา เรียนมาอยู่ แต่ไม่จบ เรียนไม่จบ นี่ก็เหมือนกัน เวลาตทังคปหาน มันเป็นอย่างนั้นนะ มันเห็นอยู่ แต่พอไม่เข้าใจนะ มันก็มีความสงสัยใช่ไหม

แต่ถ้าเราเรียนจบ เราจะเข้าใจกระบวนการของมันทั้งหมด ว่าสิ่งนี้ไข้มันหลบ แล้วมันดื้อยา ถ้าไข้มันดื้อยาแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เห็นไหม เขาต้องให้ยาที่เข้มข้นขึ้น หรือใช้ยาตัวอื่นเข้าไป เพื่อจะให้ไข้มันไม่ดื้อยา ไม่หลบอยู่ในร่างกายนี้

นี่ไง ถ้าตทังคปหานมันมีอาการอย่างนี้ เราถึงจะต้องพยายามทำมากขึ้น เหมือนกับเราทำสมาธิได้ แล้วเวลาจิตมันเสื่อม คำว่า “จิตเสื่อม” นะ จิตเสื่อมเพราะเราไม่รู้จักวิธีการรักษา แต่ถ้าคนชำนาญนะ มันไม่เสื่อม แต่มันจะไปติดเรื่องอวิชชา เรื่องกิเลส คำว่า “ติดกิเลส” หมายถึงวิปัสสนาไปแล้วมันไม่ปล่อยวางตามความเป็นจริง แล้วมันก็ไปนอนเนื่องอยู่อย่างนั้น เห็นไหม ความเสื่อมมี ๒ ลักษณะ ความเสื่อมของขั้นสมาธิ เสื่อมหมดจากความสุขในหัวใจ กับความเสื่อมเรื่องของปัญญา ปัญญามันวิปัสสนาไปถึงตทังคปหานแล้วมันปล่อยๆ ปล่อยแล้วกิเลสมันบังเงา มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม

แต่ถ้ามันวิปัสสนาซ้ำ ซ้ำๆๆๆ คำว่า “ซ้ำ” มันใช้แง่มุมใหม่ไง มันต้องมีอุบายวิธีการใช่ไหม ว่าเราทำอย่างนี้ กิเลสมันรู้ทันแล้ว รู้ทันมันก็สร้างภาพ มันก็ทำว่าสภาวธรรมเป็นสภาวะแบบนี้ สภาวธรรมที่ว่างๆ กันอยู่นี่ วิปัสสนากันคำว่าว่างๆ นี่ ถ้ายังว่าว่างๆ ยังมีความสงสัยอยู่นะ เป็นธรรมไม่ได้

เวลาธรรมนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส คำว่า “วิจิกิจฉา” มันลังเลสงสัย สิ่งที่ลังเลสงสัยเพราะมันมีเชื่อไข มันมีขี้อยู่ มันมีความสืบต่ออยู่ มันถึงสงสัย เพราะตัวหัวใจมันสงสัย ถึงตทังคปหานมันก็สงสัย

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันสะอาดด้วยความเห็นของเรา ถ้าเราทำความสะอาดมันสมุจเฉทปหาน มันไม่สงสัย ไม่สงสัยเพราะอะไร เพราะมันเห็นจริง ๑. ความเห็นจริงกับความเป็นจริง ความเป็นจริงเพราะมันสะอาดจริงๆ ถ้ามันสะอาดจริงๆ มันจะไปหาความสกปรกมาจากไหนล่ะ

สิ่งที่เป็นร่างกายอยู่นี่มันสะอาดไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นธาตุ มันเป็นวัตถุ วัตถุมันต้องมีอาหารไปเสริมมันตลอดใช่ไหม มันถึงทำให้ชีวิตนี้ไม่ตาย ถ้ามันตายมันก็จบ แต่ถ้าเป็นจิตมันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ถ้ามันยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่มีกิเลสอยู่มันเป็นนามธรรม สิ่งที่ว่าเป็นอวิชชา เวลาคนเกิดคนตาย มันผิดได้ไง

สิ่งที่ความรู้สึก ดูสิ อย่างที่ความคิดของเรา ความคิดแต่สิ่งที่มันเศร้าหมอง เราคิดถึงแล้วมันมีความสะเทือนใจ แล้วเราคิดแล้วเรามีปัญญาธรรมเราก็ปล่อย เดี๋ยวมันก็คิดอีก แล้วมันไม่เคยล้าสมัย มันสดๆ ร้อนๆ คิดทีไรน้ำตาไหลทุกที แล้วก็อยากคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งน้ำตาไหล ยิ่งคิดซ้ำมันก็ยิ่งน้ำตาไหลมากขึ้น เพราะมันสะเทือนใจมากขึ้น

แต่ถ้ามันขาดแล้วมันไม่มี มันคิดไม่ได้ เพราะมันคิดน่ะมันรู้ทันหมดไง เพราะสติมันพร้อม ดูสิ ว่าสติมันพร้อม ทุกอย่างมันขาดออกไป นี่ถ้ามันสะอาดจริง มันเป็นแบบนี้ไง ถ้าใจเป็นสะอาดจริง มันเป็นอฐานะที่จะกลับมาเสื่อมสภาพอีก มันเป็นอฐานะที่เราจะต้องมาทำความสะอาดอีก แต่ถ้าเป็นร่างกายนะ เราทำสะอาดขนาดไหน ต้องทำไปจนตาย

พระอรหันต์...ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกพระอานนท์ “อานนท์ ตักน้ำมาเถิด เรากระหายเหลือเกิน เราจะฉันน้ำ”

ยังต้องสรงยังต้องสรง ยังต้องสนาน พระอรหันต์ก็ร่างกายเป็นธรรมชาติอย่างนี้ มันก็ยังมีขับของเสียอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นหัวใจ...ไม่มี เห็นไหม เวลาสะเทือนใจ พระอรหันต์ เวลาสิ่งที่กระทบกับพระอรหันต์ อย่างเช่นพระโมคคัลลานะที่ว่าเขาทุบตายๆ ขณะที่เขาทุบ มันสะเทือนหัวใจไหม ถ้ามันสะเทือนหัวใจ จิตนี่มันต้องหวั่นไหว ถ้าจิตนี้หวั่นไหว...เวลาเราตายเราก็จบนะ เราตายตายไปแล้ว แต่พระโมคคัลลานะนี่โจรทุบจนตาย แล้วเอาจิตนี่...เพราะธรรมพระอรหันต์มี ธรรมที่มีอยู่ ธรรมที่สะอาด ใช้ฤทธิ์เพราะชำนาญเรื่องฤทธิ์มาก รวมร่างกายนี้แล้วเหาะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนตายแล้วนะ ยังกลับด้วยฤทธิ์รวมขึ้นมาให้ร่างกายเป็นปกติ แล้วไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นการรั้งไว้หรือความเสียใจต่างๆ ให้มีคุณค่าไง ให้เป็นสภาวธรรมเพราะสิ่งนี้มันเป็นความจริง

“แต่เธอก่อนจะไป ให้ได้เทศนาว่าการ” คือให้แสดงให้น้องๆ ได้เห็นก่อน เห็นไหม เหาะขึ้นไปบนอากาศลงมา เหาะขึ้นไปบนอากาศลงมา แล้วเทศน์สอน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าใครจะไปส่งพระโมคคัลลานะให้ไป” นี่ย้อนกลับ เหาะไปที่เดิม ไปลงไปที่เดิมแล้วคลายฤทธิ์ออก ร่างกายนั้นกลับเป็นสิ่งที่โดนทุบทำลายแหลกหมด

นี่มันถึงไม่สะเทือนใจพระอรหันต์ไง สิ่งที่ไม่สะเทือน จิตถ้ามันสะอาดแล้วนะ ไม่มีสิ่งใดจะทำให้มันขุ่นมัวได้ ไม่มีสิ่งใดจะทำให้มีสิ่งที่เป็นความสกปรกอยู่ในใจดวงนั้นได้ ใจดวงนั้นจะไม่มีสิ่งใดทำให้มันสกปรกได้เลย แม้แต่ดำรงชีวิตขนาดไหนมันก็จะไม่กลับมาสกปรก แล้วกลับมาขับถ่ายของเสียออกมาจากจิตดวงนั้นแน่นอนเลย

ถ้ามันวิปัสสนามาเป็นสัจจะความจริง มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะปล่อยวาง มันจะสะอาดขึ้นมา เป็นโสดาบันมันก็สะอาดขั้นโสดาบัน นี่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ก็สะอาด ๒๕ เปอร์เซ็นต์ พระสกิทาคามีก็สะอาด ๕๐ เปอร์เซ็นต์ พระอนาคาก็สะอาด ๗๕ เปอร์เซ็นต์ พระอรหันต์สะอาด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นไหม จิตที่มันสะอาด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์อย่างนี้ มันจะมีสิ่งใดในหัวใจนั้นอีกล่ะ

สิ่งที่ท่านแสดงออกมามันเป็นคุณประโยชน์กับเราทั้งนั้นนะ ถ้าเป็นคุณประโยชน์กับเรา เราจะเก็บสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้าเก็บสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์กับเรา เราเป็นคนมีโอกาสนะ นี่ฟังธรรม เราไปฟังธรรมกัน สิ่งที่ฟังธรรม แล้วต้องให้จิตนี่เป็นประโยชน์กับเรา อย่าว่าถ้ามันคลุกอยู่แล้ว จะคลุกหนักขึ้นไปนะ

เวลาโลภ เวลาโกรธ เวลาหลง ความหลงนี่นะมันมีหลงทุกขั้นตอน หลงตั้งแต่ขั้นโสดาบัน หลงตั้งแต่ขั้นสกิทา หลงขั้นอนาคา แล้วหลงขั้นอรหัตตมรรคยิ่งหลงหนักเลย หลงหนักเพราะอะไร เพราะจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส แล้วจิตเดิมแท้นี่มันพิจารณาจิตเดิมแท้อย่างไร

แต่ในขั้นของโสดาบัน สกิทา อนาคา มันเป็นปัญญาในขั้นของขันธ์นะ สังขารขันธ์ ความคิด ความปรุง ความแต่ง เพราะตัวจิตเดิมแท้กับขันธ์มันกระทบกัน สิ่งที่กระทบกัน วิญญาณรับรู้นี่มันกระทบกัน เหมือนสิ่งที่เป็นสัมผัสกันได้ ขั้วบวกขั้วลบมี วิปัสสนาไป ทำลายกันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ความขั้วบวกขั้วลบ ไฟมันต้องมีบวกลบ แล้วมันถึงจะเป็นความสว่างขึ้นมา มันสันดาปกันจะเป็นประโยชน์กันขึ้นมา

จิตก็เหมือนกัน ขณะที่มันวิปัสสนามา อย่างที่ว่าหยาบๆ อย่างนี้เรายังทำกันแทบเป็นแทบตาย แล้วเวลาสิ่งที่มันละเอียดเข้าไป ดูไฟสิ กำลังไฟสว่างขนาดไหน กำลังไฟที่ใช้คุณประโยชน์ กำลังไฟที่เขาหยาบๆ เขาใช้อย่างหยาบๆ สิ่งที่ละเอียดอย่างคอมพิวเตอร์ อย่างต่างๆ ต้องให้มันนิ่ง ไฟมันนิ่ง มันยังมีขั้นตอนของมันไปเรื่อยๆ

สิ่งที่เป็นเรื่อยๆ ขึ้นมา แสงสว่างธรรมดาก็ใช้อะไรก็ได้ สิ่งที่ใช้คุณประโยชน์ขึ้นมาก็ต้องให้คุณภาพมันดีขึ้นมา จิตเหมือนกันเลย วิปัสสนาเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป ที่ชั้นๆ เข้าไปมันก็เห็นคุณค่าของสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่เป็นญาณเป็นต่างๆ มันเกิดเป็นชั้นเป็นตอนนะ

นี่การประพฤติปฏิบัติของเรามันถึงจะต้องก้าวเดินไปเรื่อยๆ สิ่งที่ก้าวเดิน งานของเรายังมีอยู่มาก การประพฤติปฏิบัติของเราเริ่มต้นนี่ ถ้าเรามีความเชื่อนะ แล้วเราพยายามตั้งใจของเรา จะทุกข์จนเข็ญใจ คนทุกข์คนเข็ญใจ เขาก็ต้องหาอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นของเรา เราทุกข์จนเข็ญใจ เขาเป็นเศรษฐี เขาเป็นมหาเศรษฐี เขามีกินมีอยู่ของเขา นั่นก็เป็นสมบัติของเขา เวลาประพฤติปฏิบัตินี่ใจของเขากับใจของเราไง สุขของเขา สุขของเรา หน้าที่ของเราดูใจของเรา หน้าที่ของเรานะ รักษาใจของเรา หน้าที่ของเราทั้งนั้นเลย เขาเป็นเศรษฐี เขามีเงินมีทองของเขา ก็หน้าที่ของเขา เศรษฐีก็กลับมาจนได้ คนทุกคนจิตใจก็เป็นเศรษฐีได้ เรื่องอย่างนี้มันเรื่องของโลกๆ เรื่องของวัฏฏะนี่มันเปลี่ยนแปลงได้

แต่คุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ คุณประโยชน์มันอยู่ที่นี่ เราถึงต้องดูใจของเรา การประพฤติปฏิบัติเรื่องของเรา หน้าที่การงาน หมู่คณะ การขับเคลื่อนไป ถ้าคนมีน้ำใจ คนทำสิ่งต่างๆ เพื่อหมู่คณะ มันตอบสนองเห็นไหม ในโลกนี้ไม่มีของฟรี แม้แต่สัตว์ ถ้ามันรักหมู่คณะของมัน มันดูแลหมู่คณะของมัน สัตว์มันก็จะอาศัยพึ่งพิง ฝูงมันจะใหญ่โต นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำเพื่อหมู่คณะ เขาได้ใช้สิ่งนั้นเพื่อประโยชน์จากที่เราทำ แล้วพอใช้ประโยชน์กับเรา มันเป็นบุญไหม แล้วเราไปประพฤติปฏิบัติ เราจะสบายใจไหม

แต่ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งใด แล้วเราใช้สอยสิ่งนั้น สิ่งนี้เวลาเราไปปฏิบัติขึ้นมา มันก็ทิ่มใจเรานะ เห็นไหม ขี้ภายนอก ขี้ภายใน ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำสมาธิเลย มันก็คลุกแล้ว มันคลุก มันเป็นความตระหนี่ มันเป็นความเห็นแก่ตัว มันก็คลุกขี้ แล้วขี้มันก็ไปส่งกลิ่นเหม็นในขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนา เพราะอะไร เพราะมันออกหมดล่ะ คนเรานะ สิ่งที่เป็นของสกปรก เราต้องชำระล้างทั้งหมด แล้วถ้าสิ่งที่สกปรกมันอยู่กับใจเรา ขณะที่เราไปชำระล้างนี่มันจะออกไหม

เวลาเป็นเรื่องทำข้อวัตร เป็นเรื่องของโลก เราว่าสิ่งนั้นเราได้ประโยชน์ แต่เราไปนั่งสมาธิภาวนา มันเป็นเรื่องของเราแล้ว ถ้าเรื่องของเรา สิ่งนี้มันออกมาหมด แต่ถ้าเราได้ทำมาเพื่อหมู่คณะ เพื่อสิ่งต่างๆ มันจะเป็นบุญกับเรา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำมาทั้งหมด ถ้ามันความเพียรชอบ งานชอบ มันเป็นเรื่องของเรา ถ้าเป็นเรื่องของเราก็ดูใจเรา ใจเรามันไม่มีกิเลสมาคอยขับไส ถ้าไม่มีกิเลสขับไสนะ มันก็สะอาดเข้ามา ความประพฤติปฏิบัติเราก็ง่ายเข้ามา สิ่งที่ง่ายเข้ามาเป็นประโยชน์กับใคร

อาหารเวลาเขาตักใส่ปากกัน ใครตักอาหารเข้าปากคนนั้นก็รู้รสของอาหาร นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตเราได้สัมผัสสมาธิ มันก็เป็นจิตเราได้สัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเราได้ปัญญา ที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ เห็นไหม เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วน...อัตตกิลมถานุโยคจะรู้จัก กามสุขัลลิกานุโยคเราจะรู้จัก เพราะในการประพฤติปฏิบัติเข้าไป เรื่องของกิเลสเวลามันหลอกมันจะเห็นตรงนี้ เวลาปฏิบัติไปนะ อัตตกิลมถานุโยค ถ้าเราวิปัสสนาไป นี่อุทธัจจะ...รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สิ่งที่เป็นอุทธัจจะ ถ้าเราวิปัสสนาไป มันเป็นงานเลยเถิด มันก็ไม่มัชฌิมา มันก็ไม่มรรคสามัคคี ถ้าไม่มรรคสามัคคี มันเตลิดออกไปฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าเราวิปัสสนาโดยสุกเอาเผากิน นี่กามสุขัลลิกานุโยค

“กามสุขัลลิกานุโยค” ทำแต่ความสุข ทำแต่ความพอใจ สิ่งนี้เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ทำตามกิเลส กิเลสมันพาของมันไป เห็นไหม สิ่งนี้มันต้องอยู่ในกาม กามสุขัลลิกานุโยค นี่อยู่ในกาม อยู่ในความพอใจ จิตมันก็เป็นขี้อยู่แล้ว เป็นขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แล้วนี่เป็นกามอีก มันก็ยิ่งคลุกกันไปใหญ่ นี่มันก็ตกไปฝ่ายหนึ่ง

แล้ว ๒ ฝ่ายนี้ ถ้าปฏิบัติไปนะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ผ่านการปฏิบัติมานี่จะซึ้งใจมาก อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยคนี่มันเป็นความรู้สึกจากภายในเลย ไม่ใช่การดำรงชีวิตของที่เราทำกันอยู่นี้หรอก ที่ว่าถ้าถือเคร่งเป็นอัตตกิลมถานุโยค...ไม่ใช่ มันเป็นจริตนิสัย คนต้องการเข้มข้น คนต้องการพอประมาณ คนต้องการสิ่งที่ทำแล้ว นี่สิ่งที่กิเลสมันพอใจไง ว่าทำไปแล้วมันจะรู้เอง สิ่งรู้เองสิ่งนี้เป็นเรื่องศีล เรื่องจากภายนอก “ศีล อธิศีล” ศีลละเอียดเข้าไป

แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติ ปัญญาเวลามันเกิดขึ้นมา มันไตร่ตรอง มันใคร่ครวญ แล้วมันใช้ปัญญาของมันไป มันเป็นประโยชน์กับใคร ถ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยคมันก็ถลำไป ถ้าเป็นกามสุขัลลิกานุโยค มันทำเหมือนกับไฟที่มันอ่อน เราทำอาหารขนาดไหนมันก็สุกขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้ามันไฟแรงเกินไปมันก็ไหม้ นี่มันเป็นเรื่องของอาหาร

แต่เรื่องของการกระทำ มันต้องมีการทดสอบอย่างนี้ มันถึงเป็นประสบการณ์ไง มันถึงถ้ารู้จักผิด มันถึงรู้จักถูก ถ้าเราไม่เคยทำผิดเลยแล้วเอาความถูกมาจากไหน ผิดก็ได้สัมผัสมาแล้ว เวลามันถูกขึ้นมา มันจะปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง แล้วเราต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใคร่ครวญของเราตลอดไป คำว่า “ปล่อยวาง” เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลกนะ

ถ้าเป็นธรรมะจะเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ธรรมชาติอยู่นี้มันเป็นยาของโลก มันก็เป็นสิ่งที่...คำว่า “ธรรมชาติ” การทดสอบ การธรรมชาติ มันมีตัวแปรมีปัจจัย แต่ถ้าเป็นธรรมนะ สิ่งที่มันเป็นปรมัตถธรรม ใจนี่เป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่ห้องทดสอบ ห้องวิทยาศาสตร์คือหัวใจที่การตรวจสอบในหัวใจ สิ่งนี้สำคัญมาก ยิ่งทำขนาดไหน ดูสิ เวลาว่าง โลกนี้เป็นความว่าง ผู้ที่เรือนว่างไง ว่างหมดเลย แต่ผู้ที่ไปรู้ว่าว่าง ใครล่ะ ถ้าเป็นผู้รู้ว่าว่าง เห็นไหม ห้องทดสอบของเรา เราไปทดสอบสะอาดหมด ทำดีหมด แต่เรานั่งอยู่ในนั้น เราทดสอบอยู่อย่างนั้น มันจะว่างไปไม่ได้หรอก ถ้ายังอ้าปากอยู่ ยังคุยกันอยู่ จบไม่ได้

แต่ถึงที่สุดแล้วนะมันดับหมด สิ่งที่ดับหมด เห็นไหม ทำถึงอวิชชา ทำถึงว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส โลกนี้ว่าง กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ คำว่า “รู้ว่าว่าง” นี่อัตตานุทิฏฐิไง สิ่งที่เริ่มกำหนด เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา ต่อไปนี้จะเกิดในใจของเราอีกไม่ได้เลย” เห็นไหม นี่ความดำริ

ความรู้ว่าว่าง สิ่งนี้มารมันอยู่ตรงนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้อยู่ มารยังเต็มที่ของมัน แต่ถ้าทำลายหมดแล้วจบสิ้นกระบวนการ จบหมด ถ้าจบหมดสะอาดหมด ถ้าเห็นความสะอาดนะ ใจนี้สะอาด ใจนี้ไม่มีขี้ขับถ่ายมันออกไป ความโลภ ความโกรธ ความหลง ขับถ่ายมันออกไปด้วยอริยมรรค ขับถ่ายมันออกไปด้วยภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญามันไม่มีในตำรา ไม่มีในที่ไหนทั้งสิ้น มีในความรู้สึก มีในหัวใจของผู้ที่มีกิเลส

ถ้าคนที่สิ้นจากกิเลส ดูสิ เวลากระบวนการของการกระทำ เวลาสิ้นสุดแล้วนะ มรรค ๔ ผล ๔ อรหัตตมรรค อรหัตตผล อรหัตตมรรคมันเป็นสัมปยุตเข้าไปทำลายกัน วิปปยุตคลายตัวออกมา อรหัตตผล เห็นไหม นิพพาน ๑ ถ้าถึงนิพพานแล้วมันพ้นไปจากอรหัตตมรรค อรหัตตผล พ้นไปจากกิริยา พ้นออกไปจากการสืบต่อ พ้นออกไปจากการเป็นวิชาการ มันพ้นออกไปสภาวะแบบนั้น มันถึงสิ้นได้ มันถึงสะอาดได้ มันถึงบริสุทธิ์ได้ เห็นไหม

ถ้าจิตสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ มันจะเห็นคุณค่า แล้วย้อนกลับมาดูไง ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาสิ้นกระบวนการของการประพฤติปฏิบัติแล้ว มันครบวงจรนะ ในการปฏิบัติของเรา ขั้นตอนไหน ขั้นตอนนี้ติดอย่างไร ขั้นตอนนี้กระทำอย่างไร เห็นแล้วมันถึงเห็นใจ เพราะคนเคยทุกข์เคยยาก เคยผ่านวิกฤติมานะ แล้วเห็นลูกศิษย์ลูกหาผ่านวิกฤติ แล้วจะทุกข์ยากขนาดไหน จะเห็นใจขนาดไหน ก็จะต้องให้เป็นความเพียรชอบ จะต้องให้เขาผ่านวิกฤตินั้นเอง ถ้าคนไม่เคยผ่านวิกฤติ คนไม่เคยวิปัสสนา มันจะผ่านไปไม่ได้ เราจะไปแบกรับไม่ได้

ดูสิ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ความสะอาดบริสุทธิ์นั้น ผู้ใดจะรับรองประกันกันไม่ได้ จะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์จากใจดวงนั้นเอง”

นี่จิตที่มันจะสะอาด มันจะขับไสความสกปรก ขับไสความโลภ ความโกรธ ความหลง ขับไสตัวมาร ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเป็นนางตัณหา นางอรดีนะ มันเป็นลูกของพญามาร แล้วตัวพญามารนี่ตัวเริ่มต้น ตัวสิ่งที่เก็บความสกปรกไว้ในหัวใจ มันยังต้องโดนทำลาย เห็นไหม ถ้ามันทำลายสิ่งนี้ออกไปจากจิต สิ่งนี้มันสะอาดได้

แล้วออกไปจากจิตแล้วจิตมันอยู่ไหน สิ่งที่มันสะอาด มันสะอาดอยู่ไหน? มันอยู่ที่ใจผู้รู้นั่นล่ะ มันอยู่ที่ผู้รู้ มันไม่ไปไหน แต่ถ้าสิ่งที่เป็นทางความรู้ของเรา มันยังว่าการอยู่ มันเป็นเรื่องของทางสมมุติหมด อ้าปากคือสมมุติทันที เพราะเป็นผลของวัฏฏะ

“สมมุติบัญญัติ” สมมุติบัญญัติมันเป็นปูนหมายป้ายทางให้เราเข้ามานะ เพราะเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ย้อนกลับมาในหัวใจของเรา จะแก้ไขสิ่งนี้ได้ จะทำได้ เพราะเรามีความเชื่อ ความเชื่อคือความศรัทธา ความศรัทธานี้จะเป็นหัวรถจักรดึงเราเข้ามาให้ประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาขณะที่ประพฤติปฏิบัติ มันอยู่ที่ว่าระยะทาง ดูนะ ระยะทางของทางโลกเขา หนทางเขาวัดกันด้วยกิโลนะ แต่ระยะทางของหัวใจอยู่ที่ลมหายใจ

คนเราอายุไม่เท่ากัน อำนาจวาสนาของคนก็ไม่เท่ากัน ๗ เดือน ๗ วัน ๗ ปี ครูบาอาจารย์ของเราขณะโกนศีรษะผมตกมาเป็นพระโสดาบันก็มี ในสมัยพุทธกาลฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาหิยะนี่ทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ดูสิ ดูเวลาพระสารีบุตร ฟังพระอัสสชิหนหนึ่งเป็นพระโสดาบันขึ้นมาก่อน พระโมคคัลลานะฟังจากพระสารีบุตรก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมาก่อน แล้วออกประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอยู่ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

พระโมคคัลลานะ ๗ วัน พระสารีบุตร ๑๔ วัน นี่สิ้นกระบวนการไป สิ่งนี้มันเป็นการกระทำ มันเป็นระยะทาง ระยะทางทางโลกเขาวัดกันเป็นกิโลเป็นระยะทาง ระยะทางของเราอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ นี้คือคุณธรรมในหัวใจ ระยะทางคือชีวิตเรานี่ยาวหรือสั้น นี่เป็นระยะหนึ่ง

โลกนี่เป็นวัฏฏะ เป็นสภาวะแบบนี้ อยู่ที่บุญ อยู่ที่กุศล เราถึงอย่าประมาทในชีวิตนะ เราจะต้องกระทำ แล้วถ้าอยู่ที่ไหนก็ให้วัดใจ อยู่ที่ไหนก็ให้กำหนดพุทโธ อยู่ที่ไหนก็ให้มีสติ นี่คือการกระทำตลอดไป แล้วเราจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เอวัง